โครงการพัฒนาสื่อมัลติมีเดียเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมผ่านวัดในสกุลช่างเชียงแสน

The Development of multimedia to promote cultural tourism through the temple in Chiang Saen Craftmen School
สาขาสถาปัตยกรรม คณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา

วัดป่าสัก

สถานที่ตั้ง

ที่ตั้ง ตำบลเวียง อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย

ประวัติความเป็นมา    ตามประชุมพงศาวดารภาคที่ 61 กล่าวว่า พญาแสนภู กษัตริย์องค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์    มังรายทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 1838 (จ.ศ. 657) เพื่อเป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุโคปกะ (กระดูกตาตุ่มข้างขวา) ที่นำมาจากเมืองปาฏลีบุตร ประเทศอินเดีย แล้วให้ปลูกต้นสักล้อมกำแพง จำนวน 300 ต้น จึงได้ชื่อว่า “วัดป่าสัก” ต่อมาได้สร้างกุฏิถวายแด่พระพุทธโฆษาจารย์เพื่อจำพรรษาและอภิเษกให้เป็นสังฆราช

โบราณสถาน            มีหลายประเภท ทั้งเจดีย์ วิหาร อุโบสถ หลายแห่งในที่นี้ขอกล่าวเพียงส่วนที่สำคัญ ได้แก่

  1. เจดีย์ประธานทรงมณฑปหรือทรงปราสาท เป็นเจดีย์ก่ออิฐ ถือปูน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกด้านหลังของวิหาร เจดีย์มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาด 15×15 เมตร สูงประมาณ 16 เมตร สามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
  • ส่วนฐาน กำหนดจากฐานเขียงด้านล่างรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขึ้นไปจนถึงซุ้มคูหาประดิษฐานพระพุทธรูปสลับกับเทวรูป ซึ่งมีประจำอยู่ด้านละ 3 องค์ พระพุทธรูปในซุ้มจระนำเป็นพระพุทธรูปประทับยืนปางเปิดโลก พระกรทั้งสองขนาบไปกับพระวรกายทั้งสองข้าง แต่มีองค์ที่อยู่ในซุ้มด้านทิศเหนือเป็นปางลีลา

ตรงฐานล่างสุดก่อนที่จะถึงส่วนซุ้มคูหานั้น แบ่งได้เป็นสองส่วนคือ

  • ส่วนเหนือฐานบัว ทำเป็นช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสโดยรอบทั้ง 4 ด้าน ภายในช่องสี่เหลี่ยมเชื่อว่าเคยมีลายปูนปั้นประดับอยู่ หรืออาจจะเป็นเซรามิกปั้นเป็นชาดกต่างๆ ดังที่ปรากฏในศาสนสถานของพุกาม
  • ส่วนเหนือสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทำเป็นช่อง 8 เหลี่ยมโดยรอบทั้ง 4 ด้าน อีกเช่นกัน เหนือขึ้นไปเป็นซุ้มคูหาพระพุทธรูป
  • ส่วนเรือนธาตุ กำหนดจากส่วนต่อจากฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสซ้อนลดหลั่นกันสามชั้นเหนือซุ้มจระนำประดิษฐานพระพุทธรูปที่ส่วนฐาน เรือนธาตุนี้อยู่ในแผนผังสี่เหลี่ยม ตรงช่วงกลางเรือนธาตุทั้ง 4 ด้าน มีการสร้างซุ้มจระนำหรือ “ซุ้มทิศ” ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นปางเปิดโลก และถัดฐานชั้นสุดก็เป็นลายปูนปั้นบัวคว่ำบัวหงายระหว่างบัวคว่ำบัวหงายมีลายรักร้อยขั้นกลางเหนือส่วนของบัวคว่ำบัวหงายนี้จึงเป็นซุ้มจระนำ 4 ด้าน ประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดย่อมนี้ตั้งอยู่ตรงกลางดอกบัวซึ่งแผ่กลีบขยายรองรับอยู่ ลักษณะเรือนซุ้มจระนำนี้เป็นปูนปั้นมีลวดลายประดับทำเป็นเสาตั้งซ้อนกัน 2 ชั้น ด้านบนของซุ้มทิศมีการประดับด้วย“ ฝักเพกา” กลีบยาว ซึ่งคล้ายคลึงกับงานในศิลปะพุกาม ตรงปลายของซุ้มทำเป็นพระยานาคสามเศียร
  • ส่วนยอด เป็นส่วนที่อยู่เหนือเรือนธาตุขึ้นไปบริเวณส่วนยอดของเจดีย์วัดป่าสัก นี้มีการประดับด้วยปูนปั้น “สะตายจีน” เป็นรูปคนแคระทำท่าแบกองค์เจดีย์ส่วนยอดนี้ เหนือคนแคระขึ้นไปเป็นส่วนองค์เจดีย์ที่ทำตอนล่างเป็นแปดเหลี่ยม คั่นกลางด้วยเสาแท่งสี่เหลี่ยม เรียงรายอยู่โดยรอบ แล้วมีบัวหงายกลีบซ้อนเกสร แผ่ขยายรองรับส่วนองค์ระฆังอีกชั้นหนึ่ง องค์ระฆังของเจดีย์นี้เป็นรูปทรงกลมมีลายปูนปั้นประจำยามรัดอก เหนือองค์ระฆังเป็นซุ้มฝักเพกา ซึ่งพบในศิลปะแบบพุกามซึ่งเรียกว่า“ ซุ้มเคล็ก” รองรับปล้องไฉน ปลียอด และเม็ดน้ำค้างเป็นที่สุดตามลำดับ อนึ่งตามมุมทั้งสี่ของเจดีย์ยังมีเจดีย์ขนาดเล็กตั้งอยู่ที่มุมทั้ง 4 ด้าน โดยมีเจดีย์ใหญ่อยู่ตรงกลางรวมเป็นเจดีย์ 5 ยอดด้วยกัน ซึ่งเป็นคติในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน อันหมายถึงพระธยานิพุทธทั้งสี่ และพระอาธิพุทธนั่นเอง

เจดีย์องค์นี้งดงามด้วยการตกแต่งลวดลายปูนปั้นอย่างวิจิตรงดงาม ในรูปพันธุ์พฤกษาและรูปสัตว์เช่น หน้ากาล มกร สิงห์ ครุฑ นาค และรูปบุคคล จนกล่าวได้ว่า เป็นเจดีย์ที่มีความงดงามที่สุดองค์หนึ่งในศิลปะล้านนา สะท้อนให้เห็นถึงการนำเอารูปแบบของศิลปะดั้งเดิมผสมผสานเข้ากับศิลปะภายนอกได้อย่างกลมกลืน ดังจะเห็นได้จาก ลายซุ้มฝักเพกาแบบพุกามหรือพม่า ลายกาลมกรแบบเขมร รูปมารแบกแบบทวารวดี การทำเจดีย์จำลองเล็กๆ ประดับที่มุมทั้งสี่ของเรือนธาตุแบบศรีวิชัย พระพุทธรูปที่มีลักษณะพระพักตร์รูปไข่แบบสุโขทัย ตลอดจนลายหน้ากระดานที่ตกแต่งด้วยลายดอกไม้แบบจีนเวียดนาม ได้แก่ ลายดอกบัว ดอกโบตั๋น และดอกเบญจมาศ ซึ่งดูแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลจากลวดลายบนเครื่องลายครามจีนและเวียดนามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 19-20 ได้ชัดเจนที่สุด

  1. วิหารหลวง

เป็นวิหารหันหน้าสู่ทิศตะวันออก โดยมีทางเดินยาวจากด้านหน้าวัดปูด้วยอิฐรูปแปดเหลี่ยมเชื่อมต่อกับวิหารซึ่งมีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขหน้า วิหาร ก่ออิฐถือปูนและศิลาแลง ขนาดประมาณ 17×37 เมตร บนตัววิหารมีเสาศิลาแลง ฉาบปูนจำนวน 8 ต้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 45 เซนติเมตร

  1. อุโบสถ ตั้งอยู่ห่างจากวิหารหลวง โดยมีวิหารรายขนาดเล็กคั่นอยู่อุโบสถแห่งนี้หันหน้าสู่ทิศตะวันออกเช่นเดียวกับวิหาร มีแผนผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก่ออิฐ ถือปูน เชื่อมต่อท้าย อุโบสถด้วยเจดีย์ซึ่งพังทลายลงมามากแล้ว อุโบสถของวัดป่าสักมีความน่าสนใจ เนื่องจากมีการสร้างมณฑปปราสาทภายใน คล้ายกับอุโบสถสองสงฆ์วัดพระสิงห์ซึ่งมีการสร้างปราสาทภายในขนาดเล็กไว้ และมีหอขวางทางด้านหน้าอุโบสถซึ่งไม่เหลือปรากฏในแบบแผนของอุโบสถล้านนาปัจจุบัน หากแต่ยังคงพบรูปแบบที่คล้ายคลึงกันได้ที่หลวงพระบาง ซึ่งแสดงความเชื่อมโยงทางรูปแบบศิลปะ ซึ่งคงจะต้องทำการศึกษาต่อไป

การขุดแต่งบูรณะ กรมศิลปากรเคยทำการบูรณะ เจดีย์วัดป่าสักในระหว่างพ. ศ. 2500-2505 และได้รวบรวมบรรดาลวดลายปูนปั้นงดงามจำนวนมาก ที่ปรักหักพังไปเก็บรักษาในที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงเช่น เกียรติมุขชิ้นส่วนรูปเทวดา ปูนปั้นประดับซุ้มโขง อันได้แก่ ลายประจำยาม ลายดอกไม้ ลายเครือเถา ลายครุฑ ลายมังกรและลายรูปนาค 3 เศียร ปูนปั้นรูปครุฑยุดนาค และปูนปั้นรูปหน้ากาล ทั้งนี้งานปูนปั้นประดับวัดป่าสัก ถูกสร้างสรรค์ด้วยฝีมือของประติมากรชั้นครู มีโครงสร้าง รูปทรงและปริมาตรชัดเจน มีสัดส่วน และจังหวะในการจัดลำดับและจัดวาง นับว่าเป็นงานซึ่งแสดงสุนทรียภาพชั้นสูงทีเดียว

จากรายงานการขุดแต่งวัดป่าสักเมื่อปีพ. ศ. 2534 นักโบราณคดีพบโบราณวัตถุจำนวนมาก เช่น ชิ้นส่วนประกอบฉัตรที่ฉลุลายดอกไม้แผ่นโลหะดุนลายดอกบัวปิดทอง แผ่นทองจังโก (ลักษณะเป็นแผ่นทองเหลืองทาด้วยน้ำยาและปิดทอง) รวมถึงพบสถูปจำลองหินทราย เศียรพระพุทธรูป ชิ้นส่วนหน้าตักพระพุทธรูปหินทรายปางมารวิชัย อิฐเผาแกร่งขูดขีดลายคล้ายรูปมังกร เบี้ยดินเผาลักษณะเป็นเบี้ยกลม ฝนเรียบทุกด้าน ขอบโค้งมน เนื้อดินสีส้ม

นอกจากนี้ยังพบภาชนะดินเผาอีกจำนวนหนึ่ง ได้แก่ เศษเครื่องถ้วยเขียนลายสีดำใต้เคลือบจากเตาเวียงกาหลง เศษเครื่องถ้วยประเภทเคลือบสีเขียวจากเตาวังเหนือ (ลำปาง) เศษเครื่องถ้วยประเภทเคลือบสีเขียวจากเตาสันกำแพง (เชียงใหม่) ไหดินเผาไม่เคลือบแบบพื้นเมือง และกระปุกลายครามเขียนลายเป็ดกลางสระบัวสมัยราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1911-2187)

ปัจจุบันในปี 2549 วัดป่าสักได้รับการบูรณะครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง

แผนที่
รูปภาพ